ห่างหายจากหน้าจอไปนานกว่า 25 ปี สำหรับ ‘บุ๋ม ตรีรัก’ อดีตนักแสดงชื่อดัง ที่ตัดสินใจไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานานกว่า 20 ปี

‘บุ๋ม ตรีรัก’ เคยรับบทนางเอกเรื่องดังในยุค 90 แต่เธอก็ไม่เคยหายไปจากใจแฟนคลับเลย ยังคงมีแฟนคลับติดตามจำนวนมาก

และรอเธอมาแสดงฝีมือให้ได้ชมอีกครั้ง และล่าสุดก็ได้กลับมารับละครแล้ว เป็นที่เรียบร้อย ในเรื่อง “สายรุ้ง”

“ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคือดังมาก แต่อยู่ดี ๆ ไปอเมริกา คนส่วนใหญ่คิดว่าอกหัก หลายคนไม่เข้าใจทำไมเราเข็ดความรัก

ถึงไม่ยอมมีแฟน คือเป็นคำถามที่ถามมาตลอด 20 ปี ณ วันนั้นพี่อยากเป็นโสด พี่มีแฟนมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นอายุประมาณ 32 ปี ถึงจุดอิ่มตัวว่าทำไมแฟนคนนี้เขาดีนะ

เรารักกัน ยังไงก็ยืนยัน ณ วันนั้นเรารักกัน แต่ผู้หญิงคนนึงคิดว่าทำไมคนข้าง ๆ เขาช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้เลย เป็นช้างเท้าหลัง แล้วพี่เป็นช้างเท้าหน้า

แล้วเรารู้สึกว่าฉันเก่งกว่า ฉันเป็นคนชอบดูแลแฟน หางานให้ เสร็จแล้วอยากอยู่ด้วยกัน เราก็ซื้อบ้าน เพราะเรามีรายได้มากกว่า

ที่เลือกไปที่อเมริกาเพราะที่นั่นอากาศดี มีอาหารไทย แต่ภาษาไม่ได้เลย ก่อนไปพี่เรียนแล้ว 6 เดือน ไปนู่นกลางวันเรียนภาษา 9 โมงเช้าถึงบ่ายสาม 6 เดือนแรก

เรียนอย่างเดียว งานไม่ทำ เงินฮวบเลย คือเรามีเงินเก็บของเราอยู่แล้ว แล้วใช้ไปทุกวัน เรารู้สึกว่าไม่ได้แล้วเลยโทรกลับเมืองไทย

ให้รุ่นน้องช่วยหาคนรู้จักหน่อย ว่ามีร้านอาหารไทยตรงไหนบ้าง พี่ไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ ไปร้านเครื่องเทศ อยู่กับเขาถึง 4 ปี”

“แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ไทย วินาทีแรกที่เรากลับมาเมืองไทย ได้เจอหน้า ‘เอ้’ ครั้งแรก เขาก็ยืนนิ่งเฉย แต่ในใจเราตึกตักอยากจะถามเพื่อนว่า ฉันผิดอะไรเธอหายไป 20 ปี

ฉันแอบถามตลอดว่าแกเป็นอย่างไร เธอโอเคไหม เธอไม่เคยห่วงฉันเลยเหรอว่าฉันเป็นอย่างไร เธอจะไม่คบกับฉันก็ได้นะ แต่ฉันก็ยังรักเธอเหมือนเดิม

คือ ‘เอ้’ เป็นคนรักเพื่อนแล้วรักเลย นิสัยเป็นคนแบบนี้จริง ๆ เสร็จบุ๋มก็เฉยๆ ยืนนิ่งเลย โคตรเจ็บ นี่เพื่อนนะ เราเป็นเพื่อนสนิทนะ สิ่งที่เราอยากจะถามเขาไม่กล้าถามอะไร

เลยนั่งมองแล้ว เรามองหน้ากันเหมือนไม่ใช่เพื่อนสนิท 20 ปีที่เราอยากคุยกับเพื่อน นิ่ง เราก็คิดในใจ เลิกคบก็เลิก ตัดเลยจบเลยจริง ๆ วันนั้น

20 ปีต่อมา ‘เอ้’ ก็เหมือนเดิมกับเรา เลยเริ่มรู้สึกแย่ คือเราเริ่มรู้สึกผิดไปแล้วว่าเรานิสัยไม่ดีกับเพื่อน ‘บุ๋ม ตรีรัก’ สมัยก่อนนะ สมัยตอนนี้ดีขึ้นแล้วนะ”